อาคารหลังนี้ตั้งอยู่บริเวณหลักสี่ เป็นอาคารที่อยู่ในระหว่างดำเนินการก่อสร้างเมื่อถึงขั้นตอนมุงหลังคา ช่างมุงหลังคาพบว่าระดับของสันหลังคามีความแตกต่างกันมาก เมื่อปรับแต่งใหม่แล้วทิ้งไว้ไม่นานก็เกิดความต่างระดับขึ้นอีก จึงสงสัยว่าอาคารหลังนี้อาจเกิดการทรุดตัวและได้แจ้งให้เจ้าของทราบ เจ้าของได้ติดต่อว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาสำรวจ ผลปรากฏว่าเกิดการทรุดตัวจริง มีอัตราการทรุดตัวประมาณ 1 ซม.ต่อเดือน และทรุดเอียงไปทางด้านขวา(เมื่อหันหน้าเข้าหาอาคาร)
อาคารพักอาศัยหลังนี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ไม่พบรอยแตกร้าวที่บ่งชี้ว่าเกิดการทรุดตัว กว่าเจ้าของบ้านจะทราบได้ก็ทรุดไปมากแล้ว นับว่าโชคดีที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จสามารถแก้ไขได้ไม่ยากนัก
จากข้อมูลการก่อสร้าง อาคารหลังนี้ใช้เสาเข็มตอกหน้าตัดสี่เหลี่ยมขนาด 26 x 26ซม. ความลึกประมาณ 16 ม. ฐานละ 2 ต้นบริเวณกลางอาคาร และฐานละ 1 ต้นบริเวณริมอาคาร
เจาะสำรวจดินเพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุการทรุดตัวพบว่าดินเหนียวอ่อน (Very soft clay) มีความลึกถึง 22 ม. ดังนั้นเสาเข็มที่ปลายอยู่ระดับ 16 ม.จึงไม่สามารถรับน้ำหนักบรรทุกจากตัวอาคารได้ เสาเข็มทุกต้นอยู่ในลักษณะแบกน้ำหนักเกินกำลังและเกิดการทรุดตัว
เมื่อฐานรากทุกฐานแบกน้ำหนักเกินกำลังและเกิดการทรุดตัว ฐานรากในกลุ่มที่แบกรับน้ำหนักมากจะทรุดตัวมากที่สุดแล้วดึงให้ฐานรากกลุ่มอื่นทรุดตัวตามกัน ทำให้อาคารเอียงและจะทรุดเอียงไปทางด้านที่น้ำหนักของตัวอาคารลงมาก
วิเคราะห์
ความบกพร่องที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดการทรุดเอียงของอาคารหลังนี้ พอจะกล่าวโดยรวมได้ว่าเกิดจากเสาเข็มมีกำลังรับน้ำหนักต่ำกว่าที่ต้องการ กำลังรับน้ำหนักของเสาเข็มที่ต่ำกว่าความต้องการนี้อาจเกิดขึ้นจาก
· ไม่ทราบสภาพชั้นดินที่แท้จริง ทำให้กำหนดความยาวเสาเข็มและกำลังรับน้ำหนักของเสาเข็มผิดพลาด ในบางครั้งการใช้ข้อมูลดินจากบริเวณข้างเคียงก็อาจให้ผลไม่ตรงกับสภาพดิน ณ ตำแหน่งที่ทำการก่อสร้าง เพราะอาจเคยมีการขุดดินแล้วถมใหม่มาก่อน
ขอบคุณ อาจารย์ ธเนศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น